Follow us                        เข้าสู่ระบบ     
ติดตามชั่วโมงทำงาน (Billable Hours) อย่างไรให้เปลี่ยนเวลาเป็นเงิน? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับ SME
หยุดรายได้รั่วไหล เพิ่มกำไรให้ทุกโปรเจกต์ด้วยข้อมูลที่แม่นยำ พร้อมวิธีคิดค่าบริการลูกค้าที่สร้างความน่าเชื่อถือ
7 July, 2025 by
Taaxteam Post

ทำไม Billable Hours ถึงเป็น 'เส้นเลือดใหญ่' ของธุรกิจบริการและโครงการ?

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมบางโปรเจกต์ถึงทำกำไรได้น้อยกว่าที่คาด? คำตอบอาจซ่อนอยู่ในการบริหารจัดการเวลา จากผลสำรวจพบว่า ธุรกิจบริการอาจสูญเสียรายได้ถึง 20% จากการไม่บันทึกเวลาทำงานอย่างถูกต้อง นี่คือจุดที่ Billable Hours หรือ 'ชั่วโมงที่เรียกเก็บเงินได้' เข้ามามีบทบาทสำคัญ

Billable Hours คืออะไร? มันคือเวลาที่พนักงานของคุณใช้ไปกับงานที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าโดยตรงและสามารถเรียกเก็บค่าบริการได้ ซึ่งตรงข้ามกับ Non-billable Hours ที่เป็นงานภายใน เช่น การประชุมทีม, การตอบอีเมลภายใน หรือการพัฒนาธุรกิจ ดังนั้น การติดตาม Billable Hours จึงไม่ใช่แค่การจับเวลา แต่คือการแปลง 'เวลา' ของทีมให้เป็น 'รายได้' ของบริษัทโดยตรง ทำให้คุณเห็นต้นทุนและกำไรที่แท้จริงของแต่ละโปรเจกต์ได้อย่างชัดเจน

5 ประโยชน์ที่จับต้องได้ เมื่อเริ่มติดตามชั่วโมงทำงานอย่างเป็นระบบ

การมีระบบติดตามเวลาที่ดีช่วยปลดล็อกประโยชน์ทางธุรกิจในหลายมิติ ตั้งแต่การเงิน, การดำเนินงาน, ไปจนถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า นี่คือ 5 ประโยชน์ที่คุณจะได้รับทันที

  • เพิ่มกำไรสุทธิ: คิดค่าบริการได้ครบทุกชั่วโมงทำงาน ไม่ตกหล่น ทำให้คุณมั่นใจได้ว่ารายรับสะท้อนถึงความพยายามที่ทีมงานทุ่มเทไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
  • เสนอราคาแม่นยำ: ใช้ข้อมูลจริงจากโปรเจกต์เก่าในการประเมินงานใหม่ บอกลาการคาดเดาและสร้างใบเสนอราคาที่มีความแม่นยำสูง เพิ่มโอกาสชนะในทุกโปรเจกต์
  • บริหารทีมมีประสิทธิภาพ: เห็นภาพรวมว่าใครทำงานอะไร และมี workload เหมาะสมหรือไม่ ช่วยให้คุณจัดสรรทรัพยากรบุคคลได้อย่างชาญฉลาดและป้องกันภาวะ Burnout ของทีม
  • สร้างความโปร่งใสให้ลูกค้า: มีรายงานชั่วโมงทำงานที่ชัดเจนเพื่อประกอบใบแจ้งหนี้ ลดข้อโต้แย้งและสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าในระยะยาว
  • ตัดสินใจด้วยข้อมูล: วิเคราะห์ได้ว่าบริการหรือลูกค้าประเภทไหนทำกำไรให้บริษัทมากที่สุด เพื่อวางกลยุทธ์ทางธุรกิจและโฟกัสในสิ่งที่สร้างการเติบโตได้อย่างแท้จริง

เปรียบเทียบ 3 วิธีติดตาม Billable Hours: แบบไหนที่ใช่สำหรับ SME ของคุณ?

การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับขนาดของทีม, ความซับซ้อนของโครงการ, และความต้องการในการเชื่อมต่อกับระบบอื่น เช่น ระบบบัญชี หรือ CRM ลองพิจารณาตารางเปรียบเทียบนี้เพื่อหาตัวเลือกที่ใช่สำหรับธุรกิจของคุณ

วิธีการ (Method) ข้อดี (Pros) ข้อเสีย/ความท้าทาย (Cons/Challenges)
1. Manual (Excel/กระดาษ) - ไม่มีค่าใช้จ่าย
- เริ่มต้นง่าย ไม่ต้องเรียนรู้ระบบ
- เสี่ยงต่อความผิดพลาดสูง
- ใช้เวลารวบรวมข้อมูลนาน
- ไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้
- ไม่เหมาะกับการขยายทีม
2. Standalone Time Tracking App - ราคาไม่สูง
- ใช้งานง่าย มีฟีเจอร์เฉพาะทาง
- แม่นยำกว่า Manual
- ข้อมูลแยกส่วนจากระบบอื่น
- ต้องป้อนข้อมูลซ้ำซ้อนในระบบบัญชี/CRM
- อาจมีค่าใช้จ่ายแฝงเมื่อต้องการฟีเจอร์เพิ่ม
3. Integrated ERP/Project Management Software - ข้อมูลเชื่อมต่อกันอัตโนมัติ
- ลดความผิดพลาดและงานซ้ำซ้อน
- เห็นภาพรวมธุรกิจครบวงจร
- รองรับการเติบโตในอนาคต
- มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเริ่มต้น
- ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และตั้งค่าระบบ

เริ่มเลย! 4 ขั้นตอนวางระบบติดตาม Billable Hours ให้สำเร็จใน 30 วัน

การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเสมอไป การวางระบบที่ดีต้องเริ่มจากการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน, เลือกเครื่องมือ, สื่อสารกับทีม และนำข้อมูลไปใช้งานจริงอย่างสม่ำเสมอ

  1. ขั้นตอนที่ 1: กำหนดนโยบายและแยกประเภทงาน
    ประชุมทีมเพื่อกำหนดให้ชัดเจนว่างานประเภทใดคือ Billable (เช่น การเขียนโค้ด, การออกแบบ, การให้คำปรึกษาลูกค้า) และงานใดคือ Non-billable (เช่น การประชุมภายใน, งานธุรการ) จัดทำเป็นเอกสารที่ทุกคนเข้าถึงได้
  2. ขั้นตอนที่ 2: เลือกเครื่องมือที่ใช่และตั้งค่าระบบ
    จากตารางเปรียบเทียบข้างต้น ให้เลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับขนาดและเป้าหมายของบริษัทคุณ หากคุณต้องการการเติบโตที่ยั่งยืน การลงทุนใน ซอฟต์แวร์บริหารโครงการ ที่เชื่อมต่อทุกอย่างเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด จากนั้นตั้งค่าโปรเจกต์และประเภทงานตามนโยบายที่กำหนดไว้
  3. ขั้นตอนที่ 3: อบรมและสื่อสารกับทีมงาน
    จัดอบรมการใช้งานเครื่องมือใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสาร 'เหตุผล' ว่าทำไมบริษัทถึงต้องเริ่มติดตามเวลาอย่างจริงจัง เน้นย้ำว่านี่คือเครื่องมือที่จะช่วยให้ทุกคนทำงานง่ายขึ้นและช่วยให้บริษัทเติบโตไปด้วยกัน
  4. ขั้นตอนที่ 4: ติดตาม, วิเคราะห์, และปรับปรุง
    ทำให้การดูรายงานการใช้เวลาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร จัดการประชุมรายสัปดาห์หรือรายเดือนเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล เช่น เปรียบเทียบชั่วโมงที่ประเมินกับชั่วโมงที่ใช้จริง, วิเคราะห์กำไรของแต่ละโปรเจกต์ และนำข้อมูลเชิงลึกไปปรับปรุงการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
Pro Tip: สร้างความร่วมมือในทีม
สื่อสารให้ชัดเจนว่าการติดตามเวลานี้ ไม่ใช่การจับผิด แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้บริษัทเติบโต, ประเมินราคาโปรเจกต์ในอนาคตได้ดีขึ้น และทำให้ทุกคนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การให้พนักงานเห็นประโยชน์ร่วมกันจะลดแรงต้านและเพิ่มความแม่นยำของข้อมูลได้อย่างมหาศาล

จาก Timesheet สู่ Invoice: เชื่อมต่อระบบติดตามเวลาเข้ากับระบบบัญชีและ CRM

ศักยภาพสูงสุดของการติดตามเวลาจะเกิดขึ้นเมื่อข้อมูลสามารถไหลไปสู่การออกใบแจ้งหนี้และวิเคราะห์ลูกค้าได้อัตโนมัติ ลองจินตนาการว่าเมื่อพนักงานบันทึกเวลาในระบบบริหารโครงการ ข้อมูลชั่วโมงทำงานเหล่านั้นสามารถถูกดึงไปสร้างเป็นรายการในใบแจ้งหนี้ใน ระบบบัญชี ได้ทันที และข้อมูลโปรเจกต์ยังเชื่อมกับข้อมูลลูกค้าใน ระบบ CRM ทำให้เห็นภาพรวมความสัมพันธ์และกำไรต่อลูกค้าหนึ่งรายได้อย่างครบวงจร การเชื่อมต่อระบบลักษณะนี้คือหัวใจของการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Decision Making) ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกให้ความสำคัญ ตามที่ Harvard Business Review ได้กล่าวไว้

ระบบ (System) ข้อมูลที่สร้าง (Data Created) ประโยชน์ (Benefit)
ระบบบริหารโครงการ Timesheet, Task Progress เห็นต้นทุนเวลาจริงของงาน
ระบบ CRM Customer History, Contact Info รู้ว่าใครคือลูกค้าของโปรเจกต์นี้
ระบบบัญชี Invoice, Billing Report ออกใบแจ้งหนี้อัตโนมัติ ไม่ตกหล่น

การลงทุนในระบบที่เชื่อมต่อกันไม่เพียงแต่อุดรูรั่วของรายได้ แต่ยังสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้ธุรกิจ SME ของคุณสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

พร้อมเปลี่ยน 'เวลา' ให้เป็น 'กำไร' แล้วหรือยัง?

หยุดการคาดเดาและเริ่มบริหารธุรกิจของคุณด้วยข้อมูลที่แม่นยำ T-Account ERP คือเครื่องมือที่ไม่ได้แค่บันทึกเวลา แต่ยังเชื่อมโยงข้อมูลโครงการ, การขาย, และบัญชีไว้ในที่เดียว ให้คุณเห็นภาพรวมสุขภาพทางการเงินของทุกโปรเจกต์และตัดสินใจได้อย่างเฉียบคม

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี ดูแพ็กเกจราคา
Taaxteam Post 7 July, 2025
Share this post
Tags