Follow us                        เข้าสู่ระบบ     
ไขความลับบัญชี: จัดการต้นทุน ‘สินค้าร่วม’ และ ‘สินค้าพลอยได้’ อย่างไรให้กำไรพุ่ง
หยุดตัดสินใจพลาด! เรียนรู้วิธีปันส่วนต้นทุนที่ถูกต้อง เพื่อเห็นกำไรที่แท้จริงของสินค้าทุกชิ้น และปลดล็อกการเติบโตของธุรกิจ
7 July, 2025 by
Taaxteam Post

ไขความลับบัญชี: ทำไมการจัดการต้นทุน 'สินค้าร่วม' และ 'สินค้าพลอยได้' คือหัวใจของกำไรธุรกิจผลิต

คุณเคยสงสัยไหมว่าระหว่างแฮมกับเบคอน อะไรทำกำไรให้บริษัทคุณมากกว่ากันแน่? หรือในโรงเลื่อยของคุณ ไม้แปรรูปเกรด A กับขี้เลื่อยที่ขายได้ ควรจะแบกรับต้นทุนท่อนซุงเริ่มต้นอย่างไร? คำถามเหล่านี้คือหัวใจของความท้าทายด้าน บัญชีต้นทุนการผลิต ที่ผู้บริหารธุรกิจ SME จำนวนมากมองข้ามไป

การปันส่วนต้นทุนของผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในกระบวนการผลิตเดียว หรือที่เรียกว่า ต้นทุนสินค้าร่วม (Joint Costs) นั้นมีความซับซ้อนสูง หากทำอย่างไม่ถูกต้อง อาจทำให้ตัวเลขกำไร-ขาดทุนของแต่ละผลิตภัณฑ์ผิดเพี้ยนไปโดยสิ้นเชิง ส่งผลให้คุณตัดสินใจด้านราคา การตลาด หรือการลงทุนผิดพลาดได้ การเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของฝ่ายบัญชี แต่เป็นเรื่องของกลยุทธ์และการเติบโตของบริษัทโดยตรง

เข้าใจให้ตรงกัน: สินค้าที่ผลิตร่วมกัน (Joint Products) vs. สินค้าพลอยได้ (By-products) ต่างกันอย่างไร?

ก่อนจะไปถึงวิธีคำนวณ เราต้องแยกแยะชนิดของผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นให้ถูกต้องเสียก่อน เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดต้นทุนที่ถูกต้อง การแยกแยะสองสิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นของการคิดต้นทุนที่ถูกต้อง

  • 🥩 Joint Products (สินค้าร่วม หรือ สินค้าหลัก): คือสินค้าตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปที่เกิดจากกระบวนการผลิตเดียวกันและไม่สามารถผลิตอย่างใดอย่างหนึ่งโดยลำพังได้ โดยสินค้าแต่ละชนิดมีมูลค่าขายที่สูงและใกล้เคียงกันจนถือเป็นวัตถุประสงค์หลักของการผลิตทั้งคู่ เช่น น้ำมันเบนซินและดีเซลจากการกลั่นน้ำมันดิบ, เนื้อสันในและสันนอกจากการแปรรูปสุกร
  • 🦴 By-products (สินค้าพลอยได้): คือสินค้าที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตเดียวกับสินค้าหลัก แต่มีมูลค่าขายที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ และไม่ได้เป็นเป้าหมายหลักของการผลิต เช่น กากน้ำตาลจากโรงงานผลิตน้ำตาล, ขี้เลื่อยจากโรงเลื่อย, มันหมูหรือกระดูกที่ได้จากการแปรรูปสุกร

รู้จัก 'จุดแยกตัว' (Split-Off Point): จุดชี้เป็นชี้ตายของการปันส่วนต้นทุน

หัวใจสำคัญของการปันส่วนต้นทุนคือการทำความเข้าใจ “จุดแยกตัว” หรือ Split-Off Point ซึ่งเป็นจุดในกระบวนการผลิตที่สินค้าร่วมและสินค้าพลอยได้เริ่มมีตัวตนแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้น 'ก่อน' ถึงจุดนี้ จะถูกเรียกว่า ต้นทุนร่วม (Joint Costs) และเป็นต้นทุนก้อนใหญ่ที่เราต้องหาทางแบ่งสันปันส่วนให้กับผลิตภัณฑ์แต่ละตัวอย่างยุติธรรมที่สุด

Key Takeaway: ต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้น 'ก่อน' ถึงจุดแยกตัว คือต้นทุนร่วม (Joint Costs) ที่เราต้องหาทางปันส่วนให้ยุติธรรมที่สุด

ลองนึกภาพตามกระบวนการง่ายๆ นี้:

  1. Input: เราเริ่มต้นด้วยวัตถุดิบเดียว เช่น สุกรทั้งตัว 1 ตัว มีต้นทุนเริ่มต้น (ค่าวัตถุดิบ, ค่าขนส่ง)
  2. Process: นำสุกรเข้าสู่กระบวนการผลิตร่วม เช่น การชำแหละ, การตัดแต่ง ซึ่งมีต้นทุนแรงงานและค่าโสหุ้ยการผลิตเกิดขึ้น
  3. Split-Off Point: ถึงจุดที่การชำแหละเสร็จสิ้น เราสามารถระบุชิ้นส่วนต่างๆ ได้อย่างชัดเจน นี่คือ 'จุดแยกตัว' ของเรา
  4. Outputs: ผลลัพธ์ที่ได้หลังจุดแยกตัว คือ สินค้าร่วม (เช่น เนื้อสันใน, สันนอก, สามชั้น) และ สินค้าพลอยได้ (เช่น มันหมู, กระดูก, เครื่องในบางส่วน)

การบริหารจัดการกระบวนการเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ คุณสามารถดู Case Study การจัดการ Workflow ของเรา เพื่อหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติมได้

เลือกให้ถูก! 3 วิธีปันส่วนต้นทุนสินค้าร่วม (Joint Cost Allocation) ที่นิยมใช้

เมื่อเรามีก้อนต้นทุนร่วม (Joint Costs) แล้ว คำถามต่อไปคือจะแบ่งต้นทุนนี้ให้สินค้าแต่ละตัวอย่างไร? มี 3 วิธีหลักที่นิยมใช้ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดี-ข้อเสียและเหมาะกับธุรกิจที่แตกต่างกันไป

วิธีการ (Method) เหมาะกับธุรกิจแบบไหน (Best for) ข้อดี / ข้อเสีย (Pros / Cons)
1. วิธีตามหน่วยที่ผลิต (Physical Unit Method) สินค้าทุกชนิดมีหน่วยวัดเดียวกัน (เช่น กก., ลิตร) และราคาขายไม่ต่างกันมากนัก ข้อดี: ง่าย, ตรงไปตรงมา, คำนวณไม่ซับซ้อน
ข้อเสีย: ไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของสินค้าแต่ละตัว อาจทำให้สินค้ามูลค่าสูงมีต้นทุนต่ำไป และสินค้ามูลค่าต่ำมีต้นทุนสูงไป
2. วิธีตามมูลค่าขาย ณ จุดแยกตัว (Sales Value at Split-Off Point Method) ทราบราคาขายของสินค้าทุกตัว ณ จุดแยกตัว หรือมีราคาตลาดอ้างอิงที่ชัดเจน ข้อดี: ยุติธรรมกว่าวิธีแรก, ปันต้นทุนตามความสามารถในการสร้างรายได้ของสินค้าแต่ละตัว
ข้อเสีย: ในความเป็นจริง สินค้าบางชนิดอาจไม่มีราคาตลาด ณ จุดแยกตัว เพราะต้องนำไปแปรรูปต่อ
3. วิธีมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Net Realizable Value - NRV Method) สินค้าต้องนำไปผลิตหรือแปรรูปต่ออีกขั้นตอนหนึ่งก่อนจึงจะขายได้ ข้อดี: สะท้อนมูลค่าตลาดขั้นสุดท้ายได้ดีที่สุด และสมเหตุสมผลทางธุรกิจสูง
ข้อเสีย: คำนวณซับซ้อน เพราะต้องประมาณการต้นทุนที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติม (Further Processing Costs) และราคาขายสุดท้ายให้แม่นยำ

แล้ว 'สินค้าพลอยได้' (By-products) ต้องลงบัญชียังไง?

สำหรับสินค้าพลอยได้ (By-products) ซึ่งมีมูลค่าไม่สูงนัก หลักการทางบัญชีมักจะเน้นความง่ายและปฏิบัติได้จริง โดยมี 2 แนวทางหลักๆ คือ:

  • วิธีที่ 1: บันทึกเป็น 'รายได้อื่น' (Other Income): เมื่อขายสินค้าพลอยได้ ให้นำเงินที่ได้รับไปบันทึกเป็นรายได้อื่นในงบกำไรขาดทุน วิธีนี้ง่ายที่สุด แต่จะไม่กระทบกับต้นทุนของสินค้าหลักเลย
  • วิธีที่ 2: นำมูลค่าที่ขายได้ไปลด 'ต้นทุนผลิต' (Reduction of Production Cost): นำรายได้สุทธิ (รายได้หักค่าใช้จ่ายในการขาย) จากการขายสินค้าพลอยได้ ไปหักออกจากต้นทุนการผลิตรวม (Total Production Cost) หรือต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold) ของสินค้าหลัก
Pro Tip for SMEs: สำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ การนำรายได้จากการขายสินค้าพลอยได้ (เช่น ขายกากมะพร้าว, ขี้เลื่อย) ไปหักออกจากต้นทุนการผลิตรวม (Cost of Goods Sold) เป็นวิธีที่ปฏิบัติได้ง่ายและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารมากที่สุด เพราะมันช่วยลดต้นทุนของสินค้าหลักที่คุณตั้งใจผลิตตั้งแต่แรก ทำให้การตั้งราคาและการวิเคราะห์กำไรแม่นยำขึ้น ตามหลักการคำนวณต้นทุนขายสากล

จาก Excel สู่ระบบอัตโนมัติ: ทำไม SME ยุคใหม่ต้องใช้ ERP จัดการต้นทุน

ถึงจุดนี้ คุณคงเห็นแล้วว่าการคำนวณ การปันส่วนต้นทุน ด้วยมือนั้นซับซ้อนและเต็มไปด้วยความเสี่ยง การใช้สเปรดชีตอย่าง Excel อาจดูเหมือนเป็นทางออกที่ง่ายและประหยัด แต่ก็มาพร้อมกับข้อเสียมากมาย เช่น ความเสี่ยงจากความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error), ข้อมูลที่ไม่เป็นปัจจุบัน (Not Real-time), และการขาดการเชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนอื่นของบริษัท เช่น สต็อกวัตถุดิบ หรืองานขาย

นี่คือจุดที่ ระบบ ERP สำหรับโรงงาน เข้ามามีบทบาทสำคัญ ระบบ ERP ที่ดีจะเปลี่ยนความกังวลเหล่านี้ให้กลายเป็นความมั่นใจ โดย:

  • คำนวณต้นทุนให้อัตโนมัติ: คุณสามารถตั้งค่าวิธีการปันส่วนต้นทุน (เช่น NRV Method) ที่ต้องการเพียงครั้งเดียว ระบบจะทำการคำนวณให้ทุกครั้งที่มีการผลิต
  • ข้อมูลแม่นยำและเชื่อมโยง: ดึงข้อมูลต้นทุนวัตถุดิบ, ค่าแรง, และค่าโสหุ้ยการผลิตจากส่วนต่างๆ ของระบบมาคำนวณอัตโนมัติ ลดความผิดพลาดและให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้
  • เห็นภาพรวมธุรกิจทันที: ผู้บริหารสามารถเรียกดูรายงานต้นทุนและกำไรของสินค้าแต่ละตัวได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการปรับราคา, การจัดโปรโมชั่น หรือการวางแผนการผลิต

การลงทุนในระบบ ERP ไม่ใช่แค่การซื้อซอฟต์แวร์ แต่คือการลงทุนใน 'ความถูกต้องของข้อมูล' ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการวางกลยุทธ์และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจของคุณ ลองพิจารณา ราคาและแผนบริการ ของเราเพื่อดูว่าโซลูชันของเราเหมาะสมกับคุณหรือไม่

ปลดล็อกกำไรที่ซ่อนอยู่ ด้วยข้อมูลต้นทุนที่แม่นยำ 100%

เลิกเดาว่าสินค้าตัวไหนทำกำไร! ระบบ TAAX TEAM ERP ช่วยปันส่วนต้นทุนการผลิตที่ซับซ้อนให้อัตโนมัติ ทำให้คุณเห็นต้นทุนและกำไรที่แท้จริงของสินค้าทุกชิ้น พร้อมตัดสินใจขยายธุรกิจได้อย่างมั่นใจ

ดูเดโมระบบ ERP เริ่มต้นใช้งาน
Taaxteam Post 7 July, 2025
Share this post
Tags